ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (ThaiCERT) ขอให้หน่วยงานในประเทศไทย ยกระดับการเฝ้าระวังความเสี่ยงในการเกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ ปรับปรุงระบบและเครือข่ายให้สามารถรองรับปริมาณข้อมูลที่สูงขึ้นได้ ตรวจสอบและวิเคราะห์การจราจรที่เข้ามาในระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อระบุและป้องกันการโจมตีได้ทันท่วงทีและเพิ่มมาตรการความปลอดภัยข้อมูลอย่างใกล้ชิด รวมทั้งการตรวจสอบจุดอ่อนช่องโหว่เว็บไซต์ของหน่วยงาน เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
ทั้งนี้ ThaiCERT แนะนำให้หน่วยงานควรเตรียมแผนสำรองการรับมือเหตุการณ์ให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง หากระบบเกิดการ Offline หรือระบบหยุดชะงัก ให้รีบตรวจสอบและปิดช่องโหว่ที่ถูกโจมตีและเฝ้าระวัง ติดตามข่าวสารการรายงานเหตุการณ์จาก ThaiCERT เพื่อรับการแจ้งเตือนได้ทันท่วงที อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจจะเกิดขึ้น หน่วยงานควรตรวจสอบปรับปรุงระบบและเครือข่ายให้สามารถรองรับปริมาณข้อมูลที่สูงขึ้นได้และมีการทดสอบหาจุดอ่อนของระบบเครื่องแม่ข่ายภายในองค์กรให้มีความมั่นคงปลอดภัย เพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น โดยสามารถดำเนินการได้ทันที ดังนี้
1. ดำเนินการตรวจสอบและปิดช่องโหว่จากข้อมูลที่คาดว่าเป็นช่องโหว่ที่ใช้ในการโจมตีดังกล่าว
2. สำรองข้อมูลอย่างน้อย 3 ชุด โดยต้องมีการ Backup แบบ Offline และควรให้สำเนาข้อมูลอยู่ในอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล หรือ Cloud ที่แยกออกจากระบบงาน และไม่สามารถเข้าถึงได้จากระบบงานปกติ
3. ตรวจสอบระบบการเข้าถึงเครือข่ายจากระยะไกล เช่น Remote Desktop Protocol, Virtual Private Network ว่ามีการเข้าถึงที่ผิดปกติหรือไม่ และควรหมั่นตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงระบบอย่างสม่ำเสมอ
4. User และ Password ควรใช้การยืนยันตัวตนแบบ Multi-factor Authentication (MFA) และตั้งรหัสผ่านให้ซับซ้อนคาดเดาได้ยาก
5. ควรอัปเดตคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึง Applications ให้ทันสมัยอยู่เสมอ โดยเฉพาะช่องโหว่ที่มีการแจ้งเตือนล่าสุด หรือช่องโหว่ประเภท 0-day ต่าง ๆ เช่น log4j, SolarWinds Supply Chain, Exchange Server และ Win32 Elevation Vulnerability เป็นต้น
6. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันมัลแวร์ และอัปเดตให้ทันสมัยอยู่เสมอ
7. ตรวจสอบระบบของพนักงานที่มีการ Work from home โดยเฉพาะระบบที่ System Admin
8. เพิ่ม Indicators of Compromise (IOCs) ลงในอุปกรณ์รักษาความมั่นคงปลอดภัยของระบบเพื่อเป็นการป้องกันการโจมตี
9. ไม่ควรใช้รหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย ควรตั้งรหัสผ่านให้มีความซับซ้อน มีอักขระพิเศษ อักษรตัวเล็ก ตัวใหญ่ มีตัวเลขผสมผสานกัน และใช้การยืนยันตัวตนแบบ Multi-Factor Authentication (MFA) เป็นอย่างน้อย ตัวอย่าง เช่น การสแกนลายนิ้วมือ คำถามเฉพาะเพื่อกู้รหัสผ่าน การส่งรหัสผ่านแบบครั้งเดียวที่ส่งผ่านข้อความสั้นเข้าโทรศัพท์มือถือ (SMS OTP) การใช้กุญแจรักษาความปลอดภัย เป็นต้น
ThaiCERT ขอแนะนำสำหรับการยืนยันตัวตนแบบ Multi-Factor Authentication (MFA) หรือระบบพิสูจน์ตัวบุคคลผ่านแอปพลิเคชัน ThaID (ไทยดี) มีขั้นตอน ดังนี้
1. การลงทะเบียน ผู้ใช้งานสร้างบัญชีด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน จากนั้นผู้ใช้งานจะเชื่อมโยงรายการอื่น เช่น หมายเลขโทรศัพท์มือถือหรือกุญแจรีโมท เข้ากับบัญชีของผู้ใช้งาน รายการเหล่านี้ช่วยระบุผู้ใช้งานที่ไม่เหมือนกันและไม่ควรแบ่งปันกับผู้อื่น
2. การยืนยันตัวตน เมื่อผู้ใช้งานที่มีการเปิดใช้งานยืนยันตัวตนแบบ Multi-Factor Authentication (MFA) ได้ลงชื่อเข้าใช้เว็บไซต์ระบบจะแจ้งขอชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน และการตอบสนองเพื่อยืนยันตัวตนจากอุปกรณ์ผู้ใช้งาน หากยืนยันความถูกต้อง ระบบจะเชื่อมโยงไปยังรายการอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ระบบอาจออกรหัสตัวเลขให้กับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์หรือส่งโค้ดทาง SMS ไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่ของผู้ใช้งาน
3. การโต้ตอบ ผู้ใช้งานสามารถยืนยันตัวตนด้วยการยืนยันความถูกต้องของรายการอื่น ๆ ตัวอย่าง เช่น ผู้ใช้งานอาจป้อนรหัสที่ได้รับ หรือกดปุ่มบนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ผู้ใช้งานจะสามารถเข้าถึงระบบได้ต่อเมื่อข้อมูลทั้งหมดได้รับการยืนยันความถูกต้อง
4. การนำกระบวนการมาใช้ คือการยืนยันตัวตนโดยใช้หลายปัจจัยอาจนำมาใช้ได้ในหลายวิธีระบบขอเพียงรหัสผ่าน เรียกว่าการยืนยันตัวตนโดยใช้สองปัจจัย จะใช้แอปพลิเคชันของบุคคลภายนอกที่เรียกว่าเครื่องมือยืนยันตัวตนจะยืนยันความถูกต้องของตัวตนของผู้ใช้งาน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถป้อนรหัสผ่านเข้าในเครื่องมือยืนยันตัวตน ในระหว่างการยืนยันความถูกต้องผู้ใช้งานจะป้อนข้อมูลไบโอเมตริกด้วยการสแกนลายนิ้วมือ หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย โดยระบบอาจขอให้มีการยืนยันตัวตนหลายครั้งต่อเมื่อผู้ใช้งานเข้าถึงระบบเป็นครั้งแรกบนอุปกรณ์ใหม่ หลังจากนั้นระบบจะจดจำเครื่อง และถามเพียงรหัสผ่านเท่านั้น
5. แอปพลิเคชัน ThaID จะแสดงภาพบัตรประจำตัวประชาชนในรูปแบบดิจิทัล ทั้งด้านหน้าบัตรและหลังบัตร เพื่อใช้ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (Digital ID) รวมถึงการเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification System) ทางดิจิทัล เมื่อประชาชนเข้าไปใช้บริการจากทางภาครัฐหรือภาคเอกชนที่จำเป็นต้องมีการยืนยันตัวตนก็สามารถเข้าสู่ระบบแอปพลิเคชัน ThaID เพื่อยืนยันตัวตนได้ โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลหรือใช้เอกสารยืนยันตัวตน
ทั้งนี้ ผู้ใช้งานหรือผู้ดูแลควรตรวจสอบและปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://webboard-nsoc.ncsa.or.th/
อ้างอิง : แนวปฏิบัติขั้นพื้นฐานสำหรับการป้องกันเฝ้าระวังและรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์.pdf และ Public file share – Nextcloud – NCSA Drive
